วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

โรคเบาหวาน



#โรคเบาหวาน

#เกิดจากร้อนเกิน เมื่อร่างกายร้อนมาก ๆ ร่างกายจะไม่ยอมเผาน้ำตาลให้เป็นพลังงานเพราะว่าหากมีการเผาน้ำตาลให้เป็นพลังงานก็จะเป็นการเพิ่มความร้อนให้กับร่างกายเข้าไปอีกเพราะว่า น้ำตาล 1 กรัมจะให้ความร้อน 9 แคลลอรี่ ร่างกายจึงไม่ยอมเผาผลานน้ำตาลให้เป็นพลังงาน เมื่อไม่มีการเผาผลานน้ำตาลทำให้ทำตาลค้างอยู่ในเส้นเลือด

#พอน้ำตาลค้างอยู่ในเส้นเลือดน้ำตาลก็จะหนืดการไหลเวียนของเลือดลมก็จะไม่สะดวกเซลล์เราก็จะตายแล้วจะเกิดการ ช็อค เพราะว่าเมื่อน้ำตาลมาก ๆ น้ำจากเม็ดเลือดของเราจะรั่วออกมาหาน้ำตาลและน้ำตาลก็จะรั่วและเคลื่อนเข้าไปที่เม็ดเลือดพอเกิดการผสมกันทำให้เม็ดเลือดเสียน้ำ เกิดการแตกตายทันที ส่วนประกอบของเลือดแตกตายและช็อคตายทันที

#การรักษาของหมอแผนปัจจุบันก็จะให้ยาเพื่อไปกดน้ำตาลเอาไว้พอกินยาลดน้ำตาลตัวยาจะไปสั่งให้ตับอ่อนหลั่ง อินซูลีน ออกมาเพื่อให้ไปจับน้ำตาลที่เซลล์แล้วเกิดกระบวนการ เคฟไซโค หรือกระบวนการเผาผลานน้ำตาลให้เป็นพลังงาน พอน้ำตาลถูกเผา น้ำตาลก็ลดลง แต่เซลล์ก็จะถูกเผาตายไปด้วยเพราะเดิมที่ร่างกายก็ร้อนอยู่แล้วจนร่างกายไม่ยอมเผาน้ำตาลเพิ่ม

#เพราะฉะนั้นน้ำตาลก็ลดจริงแต่เซลล์จะเสื่อมแทน จึงเป็นได้ว่าหากไม่มีการรักษาที่ต้นเหตุปัญหาก็จะไม่จบ เป็นอันว่าเซลล์เสื่อมแทนร่างกายก็จะเสื่อมแทน ทุกส่วนของร่างกายจะเสื่อมหมดเหมาะมีการเผาผลานความร้อนมากเกินกว่าปรกติ พอร่างกายร้อนได้ที่ในปริมาณหนึ่งร่างกายจะไม่ยอมเผาผลานน้ำตาลต่อให้กินยาก็จะไม่มีการเผาน้ำตาลอีกแล้วเพราะว่าร่างกายร้อนมากแล้ว

#กินยาอย่างไรก็จะเป็นมีการเผาน้ำตาลอีกแล้ว แพทย์ก็จะเปลี่ยนยาตัวใหม่ที่แรงกว่าเดิมให้กันคนไข้ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ เข้าจะเกิดการดื้อยาในที่สุด คนไข้ก็จะต้องฉีกยาในที่สุด โดยการฉีก อินซูลีน เข้าไปโดยตรงเพื่อเผาผลานน้ำตาล แต่ร่างกายร้อนมากอยู่แล้วทำให้ร่างกายเกิดการต่อต้าน อินซูลีน

#ดังนั้น อินซูลีนที่ฉีดเข้าไปก็ไม่ได้ผลสุดท้ายก็จะมีการเจาะเลือด ตรวจเป็นระยะ ๆ และไตจะวายในที่สุด พอไตวายก็จะมีการล้างไต ฟอกไตเพื่อรอวันตายอย่างเดียว ก่อนที่ไตจะวาย ผลจากการกินยารักษาโรคบัวหวานจะทำให้น้ำตาลเกิดการค้างเยอะทำให้ร่างกายเกิดการสลายตัวเองให้เป็นพลังงาน สลายเนื้อเยื่อ สลายโปรตีนให้เป็นพลังงาน

#ผลผลิตจากการสลายโปรตีนให้เป็นพลังงานจะได้แอมโมเนีย และแอมโมเนีย ก็จะเป็นสารพิษที่ร้ายแรง หากไหลไปที่ตับ ตับจะวาย ไหลไปที่ไต ไตก็จะวาย ไหลไปที่ตา ตาก็จะบอด ไปที่เซลล์ เซลล์ก็จะเสื่อม เมื่อไปที่ไตปัสสาวะออกมา ฉี่จะมีกลิ่นฉุน ๆ ยาที่เป็นพิษและแอมโมเนียในร่างกายก็จะถูกขับออกที่ไต ทำให้ไตวายเพราะเหตุนี้เองคนไข้ที่เป็นโรคบัวหวานร่างกายทุกส่วนจะเสื่อมหมด เราจะรักษา ได้อย่างไร จะแก้อย่างไร


#วิธีแก้ก็คือการรักษาตามแบบของแพทย์วิธีพุทธ โดยให้แก้ที่ต้นเหตุ ให้ใส่เย็นลดร้อน เพราะต้นเหตุเกิดจากร่างกายมีสภาวะร้อนเกิน โดยใส่ในปริมาณที่พอดี ให้มีพลังชีวิตเต็มที่สุด เมื่อร่างกายเย็นลงร่างกายก็จะยอมเผาผลานน้ำตาลให้เป็นพลังงาน เพราะว่าร่างกายมีความเย็นที่จะดูดซับความร้อนออกได้ ร่างกายของคนเราก็คล้าย ๆ กับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ก็มีร้อน มีเย็น ร่างกายของคนเราก็เช่นกัน

#หากจะให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีก็ต้องมีความร้อนคือ น้ำมัน และเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงานเครื่องก็จะร้อน แต่ก็จะมีความเย็นก็คือหม้อน้ำเพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ให้ทำงานได้ตามปรกติ ร่างกายคนเราก็เหมือนกันกับเครื่องยนต์เมื่อร่างกายมีหม้อน้ำนั้นก็คือความเย็นร่างกายก็จะสามารถทำงานได้ตามปรกติ มีประสิทธิภาพ คงทนยาวนาน

#แต่หากมีการทำงานอย่างเดียวไม่มีหม้อน้ำเครื่องยนต์ก็จะพังเช่นกัน ดังนั้น ชีวิตคนก็ควรจะมีทั้งหยิง และหยาง ร่วมกันจะทำให้มีพลังงานแข็งแรง สามารถทำกิจการงานได้ และเซลล์ก็จะไม่เสื่อมง่าย อะไรคือร้อน ร้อนก็เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน โปรตีน ไขมัน จะให้พลังงาน สารหรือพลังงานที่อยู่ในผัก และผลไม่ฤทธิ์ร้อนก็จะให้พลังงาน สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นหยาง เป็นสิ่งที่ให้พลังงานแก่ร่างร่าง

#ส่วนสิ่งที่เป็นหยิง เป็นความเย็นก็คือธาตุ ต่าง ๆ พลังงานต่าง ๆ ที่อยู่ในผักหรือสมุนไพรฤทธิ์เย็น เพราะฉะนั้นร่างกายของคนเราก็ต้องการทั้งร้อนและเย็น ในปริมาณที่พอดีร่างกายก็จะแข็งแรง คงทน ยาวนานเป็นธรรมดา


#แต่คนในยุคปัจจุบันนี้ใส่พลังความร้อนให้กับร่างกายมากว่าความเย็น เพราะฉะนั้นโรคที่เกิดขึ้นในยุคนี้ส่วนใหญ่ เกิดจากความร้อนที่เกินพอดี ทำให้ร่างกายเกิดความล้าและเป็นโรคต่าง ๆ ขึ้นมา หากมีการเติมสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นเข้าไปให้กับร่างกายโรคต่าง ๆ ก็จะหายได้


#ผู้ป่วยที่มีค่าน้ำตาลเพิ่มขึ้นในวันสุดท้ายก็อย่าพึ่งเป็นกังวล เพราะนั้นเป็นการกวาดพิษของร่างกายโดยร่างกายจะมีกวาดพิษทิ้งออกทางปัสสาวะ ทางที่ต่าง ๆ ของร่างกายและน้ำตาลก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเองโดยให้ดูจากพลังชีวิตของเราเป็นหลัก หากมีพลังชีวิตดีก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเราไมไม่กินยาหรือทิ้งยาไปเสียทีเดียว

#หากคนไข้รายได ที่ไม่กินยาแล้วพลังชีวิตตก เช่นความดันในสมองขึ้นมากจนเกินไปก็ให้กินยาไว้ก่อนอย่าทิ้งเสียทีเดียว หรือน้ำตาลมากเกินไปเป็นต้น แต่ก็ให้ดูที่พลังชีวิตเป็นหลักหากน้ำตาลนั้นทำให้พลังชีวิตตกเส้นเสือดในสมองอาจจะแตกได้ก็สามารถกินยาเพื่อเป็นการควบคุมไว้ก่อนเพราะเมื่อเรากินยาแล้วรู้สึกว่ามีความสบายมากว่าก็ให้กินยาได้เช่นกัน

#แต่ก็ให้ทำพร้อม ๆ กับการถอนพิษร้อนควบคู่กันไปด้วยพอเริ่มสดชื่นขึ้น พลังชีวิตดีขึ้น อย่างนั้นจึงค่อยเริ่มลดยาที่กินลง ทุกอย่าง ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นไปเองโดยที่ไม่ทำร้ายคนไข้มากไป โรคทุกอย่างหากเรามีพลังชีวิตดีก็ไม่ต้องไปสนใจค่าต่าง ๆ ที่ขึ้นมาให้เราสนใจในพลังชีวิตของเราเองว่าเป็นอย่างไรแล้วจึงเลือกวิธีที่จะนำมาใช้ไห้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดร.ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว)
นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญกา
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์วิถีธรรม
วิชชาธิการบดี สถาบันวิชชาราม


ที่มา  เพจหมอเขียว-ตอบปัญหากายใจ2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น